อาหารและสิ่งที่เป็นอันตรายต่อตับ
วันนี้ชมรม "ล้างพิษตับ" กลุ่มบ้านรักสุขภาพสัตหีบ ขอแนะนำความรู้เกี่ยวกับตับ ซึ่งตับนั้นมีความสัมพันธ์กับปัจจัยหลายประการด้วยกัน ว่าล้วนแล้วแต่มีความต่อตับเป็นอย่างยิ่ง หากเราทราบแล้วว่าตับมีความสำคัญต่อรางกายอย่างไรแล้ว ก็จะต้องทราบว่าควรที่จะบำรุงตับด้วยอาหารและสิ่งต่าง ๆ หรือที่เราเรียกกันว่า 6 อ. ด้วยกัน ที่จะทำให้ตับของเรามีสุขภาพดีอยู่เสมอ ไม่มีสารพิษเขาไปสะสมในตับมากเกินไป จนถึงตับใช้งานไม่ได้ในที่สุด
1.
อาหาร
สิ่งแรกที่ถือว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญในชีวิตที่คนเราทุกคนต้องบริโภคอาหารเข้าไปในร่างกายเพื่อให้ร่างกายดำรงอยู่ได้ และสามารถต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บทั้งหลายได้ สำหรับผู้ที่เป็นโรคตับเพียงเล็กน้อย เช่น
เป็นพาหะของเชื้อไวรัสบี
ผู้ป่วยเหล่านี้สามารถรับประทานอาหารได้ทุกชนิด
ไม่จำเป็นต้องหลีกเลี่ยงอาหารอย่างใดอย่างหนึ่ง
ในผู้ป่วยที่เป็นตับอักเสบเฉียบพลัน การรับประทานน้ำหวานมาก ๆ
ไม่มีรายงานว่าทำให้การดำเนินของโรคดีขึ้นกว่าการไม่ได้รับประทานน้ำหวาน
อย่างไรก็ตามในผู้ป่วยบางรายไม่สามารถบริโภคอาหารได้ เนื่องจากมีคลื่นไส้
อาเจียน เบื่ออาหาร ในกรณีเช่นนี้การรับประทานอาหารที่ประกอบด้วยคาร์โบไฮเดรทพวกแป้ง และน้ำตาล
เป็นหลักจะทำให้ย่อยอาหารได้ง่าย และควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง
สำหรับผู้ป่วย ซึ่งเริ่มมีอาการตับแข็งแล้ว อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงคือ
อาหารที่มีรสจัดทั้งหลาย เช่นหวานจัด เปรี้ยวจัด เค็มจัด โดยเฉพาะเค็มจัดนั้นทำให้เกิดโรคได้หลายอย่างด้วยกัน เช่นความดันโลหิตสูง เป็นต้น เนื่องจากการรับประทานอาหารเค็มสามารถทำให้อาการบวม
หรืออาการท้องมานเลวลงได้ โดยทั่วไปแล้วในผู้ป่วยที่มีอาการบวม หรือท้องมาน
แพทย์จะแนะนำให้รับประทานเกลือได้ไม่เกินวันละ 2 กรัม หรือเทียบเท่ากับเกลือป่นประมาณเศษหนึ่งส่วนสามช้อนชาต่อวันเท่านั้น
ผู้ป่วยที่เป็นตับแข็งควรรับประทานอาหารที่สะอาดปรุงขึ้นใหม่ ไม่ควรรับประทานอาหารที่เก็บค้างคืน
หรืออาหารที่ประกอบขึ้นสุก ๆ ดิบ ๆ เช่น การลวก การย่าง
เพราะบ่อยครั้งทีเดียวที่ผู้ป่วยโรคตับแข็งมาพบแพทย์ด้วยอาการติดเชื้อจากทางระบบทางเดินอาหาร
ซึ่งบางครั้งสามารถเป็นรุนแรงจนเสียชีวิตได้ ผู้ป่วยตับแข็งที่ไม่มีอาการซึม หรืออาการทางสมอง
สามารถรับประทานโปรตีนได้ตามปกติเหมือนกับคนปกติทั่วไป
ผู้ที่มีอาการทางสมองร่วมกับภาวะตับแข็ง
ผู้ป่วยเหล่านี้ควรจำกัดปริมาณโปรตีนที่ได้จากสัตว์
อย่างไรก็ตามสามารถเสริมโปรตีนได้ในรูปของโปรตีนได้ในรูปของโปรตีนจากพืช
หรือถั่ว เป็นต้น ผู้ป่วยควรรับประทานอาหารที่เป็นผัก
และผลไม้ให้เพียงพอเพื่อป้องกันมิให้เกิดอาการภาวะท้องผูก
การรับประทานอาหารเสริมที่เป็นโปรตีนที่มีกิ่ง (Branch Chains Amino
Acid) อาจทำให้ภาวะโภชนาการของผู้ป่วยดีขึ้นได้
อย่างไรก็ตามอาหารเสริมดังกล่าวยังมีราคาแพง และทดแทนได้ด้วยการรับประทานโปรตีนจากพืช
ปัจจุบันยังไม่มีรายงานที่ชัดเจนว่า อาหารเสริมต่าง ๆ
ที่มีจำหน่ายอยู่ในท้องตลาดจะมีประโยชน์โดยแท้จริงกับผู้ป่วยโรคตับนอกจากการรับประทานอาหารที่ถูกต้องร่วมกับพืช
ผัก และผลไม้ที่สะอาดในปริมาณที่พอเพียงจะก่อให้เกิดประโยชน์แก่ร่างกาย การรับประทานอาหารเผ็ด
หรือเปรี้ยวไม่มีผลเสียโดยตรงอย่างไรต่อตับ
2.
แอลกอฮอล์
สำหรับแอบกอฮอล์ถือว่าเป็นตัวการที่สำคัญอีกตัวหนึ่งที่เราคนไทยจะต้องประสบพบเจออยู่เป็นประจำ ไม่ว่างานไหน ๆ พี่ไทยของเราก็ต้องเมาเป็นหลัก แต่ถ้าผู้ป่วยที่เป็นโรคตับก็ควรจะหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มทุกชนิดที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบ
ผู้ที่เป็นพาหะของเชื้อไวรัสตับอักเสบบี
อาจจะพบรับประทานได้บ้าง แต่ในผู้ป่วยที่เป็นโรคตับอักเสบชนิดบีแบบเรื้อรัง
มีหลักฐานชัดเจนพบว่าการรับประทานแอลกอฮอล์ มีส่วนสัมพันธ์โดยตรง
ทำให้การดำเนินของโรคลุกลามเร็วขึ้น
ถึงแม้ว่าการสูบบุหรี่จะไม่มีผลโดยตรงกับโรคตับ
แต่การสูบบุหรี่มีผลเสียต่อร่างกาย
รวมทั้งเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญในการเกิดมะเร็งในหลาย ๆ ส่วนของร่างกาย นอกจากปอด
ดังนั้น เพื่อให้สุขภาพแข็งแรงควรจะงด และหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ด้วย
3.
อัลฟาท๊อกซิน (Aflatoxin)
สารอัลฟาท๊อกซินเป็นสารที่สร้างจากเชื้อรา Aspergillus ซึ่งเป็นเชื้อราตระกูลเดียวกัลที่พบตามขนมปังที่เก็บไว้นาน ๆ นั่นเอง เชื้อรา Aspergillus บางตระกูลสามารถสร้างสารพิษที่เรียกว่า
อัลฟาท๊อกซินขึ้น
ซึ่งสารพิษนี้สามารถชักนำให้เกิดมะเร็งตับได้
เชื้อราชนิดนี้สามารถเกิดขึ้นได้ในอาหารบางอย่าง ซึ่งเก็บอย่างไม่ถูกวิธี
และมีความชื้น เช่น ถั่ว พรกป่น ข้าวโพด
ข้าวสารเป็นต้น การศึกษาจากประเทศจีนตอนใต้พบว่า อุบัติการณ์ของการเกิดมะเร็งตับในผู้ป่วยที่เป็นตับอักเสบแบบบีเรื้อรัง
ในหมู่บ้านที่มีสารอัลฟาท๊อกซินปนเปื้อนในอาหารสูงกว่ากลุ่มประชากรที่เป็นตับอักเสบบีแบบเรื้องรัง
ที่บริโภคอาหารที่ไม่ได้ปนเปื้อนด้วยสารอัลฟาท๊อกซินอย่างชัดเจน
ดังนั้นผู้ป่วยที่เป็นโรคตับจึงควรหลีกเลี่ยงอาหารดังที่กล่าวมาแล้ว
4.
อารมณ์ และการพักผ่อน
อารมณ์และการพักผ่อน ถือว่าเป็นสิ่งที่คนเราทุกคนต้องให้ความสำคัญให้มาก ๆ เพราะว่าปัจจุบันพบว่าคนไทยมักจะมีปัญหาทางด้านอารมณ์บ่อยครั้งทีเดียว อันเนื่องมาจากปัญหาด้านเศรษฐกิจ ด้านการเมือง ด้านสิ่งแวดล้อม หรืออะไรอีกจิปาถะ และบ่อยครั้งทีแพทย์พบผู้ป่วยที่เป็นโรคไวรัสตับอักเสบแบบเรื้อรัง
หรือเป็นโรคตับแข็งที่มีอาการทั่วไปสบายดีมาตลอด
แต่เมื่อผู้ป่วยได้รับการพักผ่อนไม่เพียงพอ หรือตรากตรำงานมากเกินไป
ทำให้ร่างกายไม่แข็งแรงมีส่วนชักนำให้ตับอักเสบเพิ่มขึ้น
ผู้ป่วยอาจมาพบแพทย์ด้วยอาการดีซ่าน
หรือบางครั้งรุนแรงจนเกิดภาวะตับวายเกิดขึ้นได้ นอกจากการพักผ่อนที่เพียงพอแล้ว
การมีจิตใจที่เบิกบานแจ่มใส ทำจิตใจให้สงบร่มเย็น ก็มีความสำคัญทำให้สุขภาพโดยรวมดีขึ้นด้วย
5.
ออกกำลัง
การออกกำลังถือว่าเป็นยาวิเศษที่หาซื้อตามห้างสรรพสินค้าไม่ได้เลย ถ้าอยากได้ต้องลงมือทำเอง ก็จะได้สุขภาพดีโดยไม่ต้องเสียเงินเสียทองด้วยซ้ำไป ซึ่งหากถึงขั้นป่วยที่เป็นโรคตับแข็ง
และมีอาการที่บ่งว่ามีสภาพการทำงานของตับเหลืออยู่น้อย เช่น ดีซ่าน ท้องมาน
ผู้ป่วยเหล่านี้ควรงดออกกำลังกาย และหลีกเลี่ยงการเดิน หรือนั่งนาน ๆ
ผู้ป่วยที่มีประวัติเส้นเลือดขอดในหลอดอาหาร ไม่ควรออกกำลังที่จะต้องเบ่ง
หรือเกร็งกล้ามเนื้อท้อง เช่น การยกน้ำหนัก
เนื่องจากจะกระตุ้นให้ความดันเส้นเลือดขอดในหลอดอาหารแตกได้
อย่างไรก็ตามผู้ที่เป็นตับแข็งในระยะเริ่มต้นที่ไม่มีอาการผิดปกติสามารถออกกำลังได้ตามปกติ
แต่ควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังที่หักโหม เช่น การวิ่งมาราธอน
หรือกีฬาที่ต้องแข่งขัน การออกกำลัง เข่น การเดิน วิ่งเบา ๆ
ดูจะเป็นการออกกำลังที่เหมาะสมทุก ๆ วัน วันละไม่น้อยกว่า 30 นาทีก็จะทำให้ร่่างกายของเราพัฒนา เพิ่มความแข็งแรงขึ้นทีละน้อย ๆ ตามลำดับ
6. อัลฟาฟีโตโปรตีน
6. อัลฟาฟีโตโปรตีน
(Alpha feto-protein) เป็นสารซึ่งสร้างขึ้นโดยเซลล์ตับ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะที่มีการแบ่งตัวของเซลล์ตับ เราพบสาร Alpa feto-protein สูงขึ้นในเด็กแรกเกิด อย่างไรก็ตาม ในผู้ป่วยซึ่งเป็นมะเร็งตับอาจมีการเพิ่มขึ้นของ
Alpha feto-protein ซึ่งใช้เป็นเครื่องแจ้งเตือนมะเร็งของตับได้
ในผู้ป่วยที่มีอายุมากกว่า 45 ปี ตลอดจนผู้ที่เป็นตับแข็ง
ไม่ว่าจากสาเหตุใดก็ตาม
ถือว่าเป็นประชากรที่มีปัจจัยเสี่ยงสูงในการเกิดมะเร็งของตับได้ทั้งสิ้น
การตรวจพบมะเร็งตับในระยะเริ่มต้น สามารถให้การรักษาที่เหมาะสม
และมีโอกาสหายขาดได้ ดังนั้นผู้ที่เป็นโรคตับควรมาพบแพทย์อย่างสม่ำเสมอตามแพย์นัด และตรวจ Alpha feto-protien
ตามที่แพทย์เห็นสมควร
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น