ล้างพิษตับ บ้านรักสุขภาพสัตหีบ. ขับเคลื่อนโดย Blogger.
RSS

บรรยากาศล้างพิษตับ บ้านรักสุขภาพสัตหีบ ก.ย.56

บรรยากาศล้างพิษตับ บ้านรักสุขภาพสัตหีบ ก.ย.56
บรรยากาศล้างพิษตับ บ้านรักสุขภาพสัตหีบ ในวันที่ 6 7 8 กันยายน ที่ผ่านมาบรรยากาศเป็นแบบกันเองจริง ๆ สำหรับผู้ที่รักสุขภาพ ซึ่งชมรมล้างพิษตับ บ้านรักสุขภาพสัตหีบเน้นเป็นอย่างสูงก็คือความเป็นกันเอง ความสะดวก ความสะบาย ในด้านการบริการที่จะทำให้เรามาดูแลสุขภาพเหมือนกับมาพักผ่อนในวันหยุดสุดสัปดาห์จริง ๆ 

การดูแสสุขภาพถือว่าเป็นการกตัญญูต่อร่างกายของเรา ซึ่งจะสังเกตุเห็นว่ามีผู้คนมากมายในปัจจุบันนี้ ใช้ชีวิตในแบบที่เรียกว่าฟุ่มเฟือยมาก  ไม่ว่าจะเป็นการกิน การดื่ม การใช้ชีวิต ล้านแล้วแต่อยู่ในความประมาททั้งสิ้น.........บางคนบางท่านบอกว่าไม่เป็นไรหรอก  เรายังแข็งแรง......กิน.....ดื่ม.....เที่ยว.....ไปเถอะ.....ไม่เห็นเป็นไรเลย.......ก็จริงอยู่ในข้อนี้       แต่พอเวลาผ่านไป ผ่านไป ก็จะรู้ได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของเรา.....ตอนที่เรายังหนุ่ม....ยังสาว.....มันก็ไม่เป็นอะไรหรอก........แต่พอเลยดอนเมือง.....(หลักสี่) แล้ว...ก็จะรู้ว่าร่างกายของเราเริ่มจะเป็นอย่างไร     ที่นี้ก็จะรู้สึกเสียดายว่า   เราน่าจะดูแลร่างกายของเราให้มากกว่านี้

ภาพบรรยากาศ ของผู้ที่รักสุข ยิ้มแย้มแจ่มใส  ซึ่งบางคนในกลุ่มนี้เคยล้างพิษตับ มาแล้ว  และรอบนี้ก็เป็นการทำซ้ำ ซึ่งทำให้แต่ละท่านล้วนมีหน้าตาที่สดใสอ่อนกว่าวัย
การล้างพิษตับ บ้านรักสุขภาพสัตหีบ  ซึ่งสมาชิกที่รักสุขภาพให้ความไว้วางใจอย่างดีเสมอมา  ซึ่งกลุ่มล้างพิษตับ บ้านรักสุขภาพสัตหีบ ก็จะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด สมกับพี่น้องได้ให้ความไว้วางใจด้วยดีอย่างต่อเนื่อง       สำหรับท่านที่เคลียร์งานของท่านเรียบร้อยแล้ว หากว่างก็ขอเชิญจองคอร์สกับเราได้ล่วงหน้าตามตารางปฏิทินการออกคอร์ส

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS
Read User's Comments0

ออยล์พลูลิ่ง (Oil Pulling) ในคอร์สล้างพิษตับ

ออยล์พลูลิ่ง (Oil Pulling) ในคอร์สล้างพิษตับ
ในคอร์สล้างพิษตับ ในวันที่ 2 จะมีการอมน้ำมันมะพร้าวหรือที่เราเรียกกันว่า ออยล์พลูลิ่ง (Oil Pulling) ในช่วงเวลาประมาณ 05.30 น. ซึ่งการล้างพิษตับก็จะมีการทำออยล์พลูลิ่ง (Oil Pulling) เป็นวิธีการดูดสารพิษจากน้ำมัน เป็นวิธีธรรมชาติดั้งเดิมซึ่งมีต้นกำเนิดมาจากอินเดียเช่นกัน คือ การอมน้ำมันกลั่นเย็น โดยให้ผ่านช่องระหว่างฟันไปมา เข้าออก จนกระทั่งน้ำมันที่ข้นเหนียวผสมกับน้ำลายตนเจือจางความข้นจึงบ้วนทิ้งไป  สามารถบำบัดรักษาอาการเหล่านี้อย่างเห็นผลได้ชัดเจน ได้แก่ อาการปวดศีรษะ ปวดฟัน โรคเกี่ยวกับหัวใจ และไต โรคหลอดลมอักเสบ เลือดตีบหรือคั่ง โรคเรื้อนกวาง หรือแผลเปื่อย ฝี แผลมีหนอง โรคเกี่ยวกับลำไส้ การย่อยอาหาร รวมทั้งโรคในผู้หญิง และยังสามารถป้องกันการเติบโตขึ้นใหม่ของเนื้องอกที่เป็นอันตรายหลังจากการรักษาโรคเรื้อรังจากเลือด อัมพาต โรคเกี่ยวกับเส้นประสาท ช่องท้อง ปอด และตับ หรือโรคนอนไม่หลับ


ออยล์พลูลิ่ง (Oil Pulling)  
Dr.Bruce Fife N.D. นักโภชนาการผู้มีชื่อเสียง ซึ่งเขียนหนังสือไว้หลายเล่ม รวมทั้ง Coco-nut Oil Miracle เป็นอีกผู้หนึ่งที่มีความสงสัยในรายงานดังกล่าว จึงได้ทดลองทำออยล์พลูลิ่งด้วยตนเอง ผลลัพธ์ที่ได้ Dr.Fife ถึงกับออกปากว่า ออยล์พลูลิ่งเป็นการรักษาแบบแพทย์ทางเลือกที่มีประสิทธิภาพที่สุด แต่สิ่งที่ Dr.Fife สงสัยคือ เหตุใดการอมน้ำมันจึงช่วยรักษาโรคได้  เขาเริ่มศึกษาการทำออยล์พลูลิ่งของ Dr.Karach อย่างจริงจัง รวมทั้งศึกษารายงานอีกเป็นร้อย ๆ ชิ้น ในที่สุดก็ได้ข้อสรุปที่เป็นคำตอบทางวิทยาศาสตร์ซึ่ง Dr.Fife เขียนไว้ในหนังสือชื่อ Oil Pulling Therapy มีใจความบางตอนดังนี้

วิธีการ-แนวคิด
     ในปากของคนเราเต็มไปด้วยแบคทีเรีย ไว้รัส เชื้อรา และโปรโตซัว แต่ส่วนใหญ่เป็นแบคทีเรีย เพราะปากเป็นแหล่งอาศัยที่เหมาะสม มีความร้อน ความชื้น และอุณหภูมิคงที่ ยังมีอาหารอุดมสมบูรณ์จากเศษอาหารที่เรารับประทานเข้าไป กล่าวกันว่าปริมาณแบคทีเรียในปากของคนคนหนึ่ง มีมากกว่าจำนวนประชาการทั้งโลก แบคทีเรียบางชนิดอาศัยอยู่บนผิวฟัน บางชนิดอยู่ในช่องว่างระหว่างฟันและเหงือก บางชนิดอยู่ที่เพดานปาก และบางชนิดอยู่ใต้ลิ้นและโคนลิ้น การแปรงฟันและการใช้น้ำยาบ้วนปากช่วยลดปริมาณแบคทีเรียเหล่านี้ลงได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น ซึ่งไม่นานก็จะกลับมาแพร่พันธุ์เพิ่มจำนวนขึ้นเช่นเดิม
     โรคร้ายทุกชนิดเริ่มต้นที่ปาก อาจฟังดูเหลือเชื่อ แต่หากไม่นับโรคทางพันธุกรรม โรคทางอารมณ์ หรือโรคจากการบาดเจ็บต่าง ๆ โรคร้ายเกือบทุกชนิดรวมทั้งการเจ็บป่วยเรื้อรังต่าง ๆ ล้วนเริ่มต้นที่ปาก เนื่องจากปากเป็นประตูเข้าสู่ร่างกาย การรับประทานอาหารไม่ถูกต้อง หรืออาหารมีพิษ ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ยิ่งกว่านั้นในปากและลำไส้ยังเป็นที่อยู่ของแบคทีเรียนับพันล้านตัว บางชนิดเป็นอันตราย บางชนิดไม่อันตราย และบางชนิดเป็นประโยชน์ ถ้าแบคทีเรียเหล่านี้สามารถเข้าสู่กระแสเลือด แม้แต่แบคทีเรียชนิดที่ไม่เป็นอันตรายก็สามารถทำให้เราถึงแก่ความตายได้ถ้าในปากของเรามีแผล หรือมีการอักเสบของเหงือกหรือเนื้อเยื่อ จะทำให้แบคทีเรียสามารถเข้าสู่กระแสเลือดได้โดยง่าย เป็นสาเหตุของการเกิดโรคหลายชนิด ตั้งแต่โรคไขข้ออักเสบไปถึงโรคหัวใจ 

ออยล์พลูลิ่ง ทำงานอย่างไร
     ออยล์พลูลิ่งเป็นการบำบัดที่ทำได้ง่ายที่สุด แต่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในบรรดาการรักษาทางธรรมชาติ   หลาย ๆ คนมีความรู้สึกว่า แค่การอมและเคลื่อนน้ำมันไปทั่ว ๆ ปากไม่น่าจะช่วยรักษาโรคได้  อันที่จริงออยล์พลูลิ่งไม่ได้รักษาโรค แต่มันช่วยขจัดแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของโรค หรือเป็นตัวการปล่อยสารพิษให้หมดไป เพื่อให้ร่างกายมีโอกาสได้ฟื้นฟู ออยล์พลูลิ่งเป็นกระบวนการทางชีววิทยาล้วน ๆ แบคทีเรียในช่องปากที่ก่อให้เกิดโรคส่วนใหญ่เป็นสัตว์เซลล์เดียว เซลล์เหล่านี้ปกคลุมด้วยน้ำมัน หรือเนื้อเยื่อที่เป็นไขมันซึ่งเป็เรื่องธรรมดาของผิวเซลล์ (เซลล์ของคนเราก็ล้อมรอบด้วยส่วนผสมของไขมันเช่นเดียวกัน) เมื่อคุณเทน้ำมันลงในน้ำ สิ่งที่เกิดขึ้นคือน้ำกับน้ำมันจะแยกกันอยู่ ไม่ยอมผสมรวมกัน แต่ถ้าคุณเทน้ำมันสองชนิดเข้าด้วยกัน สิ่งที่เกิดขึ้นคือ น้ำมันทั้งสองชนิดจะผสมรวมกัน และดึงดูดซึ่งกันและกัน นี่คือความลับของออยล์พลูลิ่ง  เมื่อคุณใส่น้ำมันลงในปากเนื้อเยื่อที่เป็นน้ำมันหรือไขมันของแบคทีเรียจะถูกน้ำมันดูดไว้ ขณะคุณเคลื่อนน้ำมันไปทั่วช่องปาก แบคทีเรียที่ซ่อนอยู่ภายใต้รอยแยกของเหงือกและฟัน หรือตามซอกฟัน จะถูกดูดออกจากที่ซ่อน และติดแน่นอยู่ในส่วนผสมของน้ำมัน ยิ่งนานยิ่งมาก หลังจากผ่านไป 20 นาที ส่วนผสมของน้ำมันจะเต็มไปด้วยแบคทีเรีย ไว้รัส ฯลฯ คุณจึงควรบ้วนทิ้งไปมากกว่าที่จะกลืนมัน

     เศษอาหารที่ติดอยู่ตามซอกฟันซึ่งเป็นอาหารของแบคทีเรียจะถูกดูดออกไปด้วยเช่นกัน สิ่งที่ไม่ใช่น้ำมัน (Water based) จะถูกดูดออกด้วยน้ำลาย  น้ำลายยังช่วยลดกรดที่เกิดจากแบคทีเรีย เมื่อแบคทีเรียรวมทั้งพิษร้ายที่เกิดจากแบคทีเีรียถูกดูดออกไป จึงเป็นโอกาสดีที่ร่างกายได้ฟื้นฟู การอักเสบทั้งหลายหมดไป กระแสเลือดเป็นปกติ เนื้อเยื่อที่เสียหายได้รับการซ่อมแซม สุขภาพดีจึงกลับมาในที่สุด

น้ำมันชนิดใดเหมาะที่จะใช้ทำออยล์พลูลิ่ง
     ตามตำราโบราณของอินเดียแนะนำให้ใช้น้ำมันดอกทานตะวัน หรือน้ำมันงา เนื่องจากเป็นน้ำมันที่หาได้ทั่วไปในอินเดียขณะนั้น Dr.Fife กล่าวว่าน้ำมันชนิดใดก็สามารถทำออยล์พลูลิ่งได้ แต่โดยส่วนตัวแล้วชอบน้ำมันมะพร้าว  เพราะว่าน้ำมันมะพร้าวมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากกว่าน้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันงา หรือน้ำมันพืชชนิดอื่น ๆ เมื่อกรดลอริคในน้ำมันมะพร้าวถูกกับเอนไซม์ในน้ำลายจะแตกตัวเป็นโมเลกลีเซอไรด์ ชื่อว่าโมโนลอริน ซึ่งมีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อโรค เหตุผลอีกประการหนึ่งคือ น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์บีบเย็นที่ผลิตอย่างมีคุณภาพ จะสะอาด ถูกอนามัย มีกลิ่นและรสชาดน่าพอใจอีกด้วย

วิธีการทำออยล์พลูลิ่ง
  • ทำขณะท้องว่าง จะดื่มน้ำก่อนหรือไม่ก็ได้
  • ใช้น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์บีบเย็นประมาณ 2-3 ช้อนชา อมไว้ในปาก
  • ค่อย ๆ ดูด ดัน และดึงให้น้ำมันไหลผ่านฟันและเหงือก
  • น้ำมันจะเปลี่ยนเป็นขุ่น หรือมีสีเหลือง
  • เคลื่อนน้ำมันไปทั่ว ๆ ปากอย่างต่อเนื่องนาน 15 - 20  นาที
  • จากนั้นให้บ้วนน้ำมันทิ้งไป
  • บ้วนปากด้วยน้ำสะอาด ตามด้วยการดื่มน้ำ
  • ทำเช่นนี้วันละครั้งเป็นอย่างน้อย
โรคที่ได้รับรายงานว่าตอบสนองต่อการทำออยล์พลูลิ่ง
     ผลของการทำออยล์พลูลิ่งที่เห็นได้ชัด คือ สุขภาพในช่องปากดีขึ้น ฟันขาวขึ้น แน่นขึ้น ไม่โยกคลอน เหงือกเป็นสีชมพู แลดูมีสุขภาพดี ลมหายใจสดชื่น นอกจากนี้ดูเหมือนว่าออยล์พลูลิ่งจะช่วยเยียวยาความเจ็บไข้ หรืออาการป่วยเรื้อรังได้อีกหลายชนิด   โรคหรืออาหารเจ็บป่วยที่มีรายงานเข้ามาว่า มีการตอบสนองที่ดีกับการทำออยล์พลูลิ่ง เช่น สิว ภูมิแพ้ รังแค ไซนัส ปวดหัวไมเกรน น้ำมูกมาก หืด หลอดลมอักเสบ ผิวหนังอักเสบ เรื้อนกวาง ปวดหลัง ปวดคอ ข้ออักเสบ กลิ่นปาก ฟันผุ ฟันเป็นหนอง เลือดออกตามไรฟัน โรคเหงือก ท้องผูก แผลในกระเพาะอาหาร ลำไส้อักเสบ ริดสีดวงทวาร นอนไม่หลับ อ่อนเพลียเรื้อรัง เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ปัญหาเกี่ยวกับประจำเดือน   ส่วนอาการโรคที่การศึกษาทางการแพทย์พบว่า  เกี่ยวข้องกับสุขภาพในช่องปากโดยตรง และอาจมีผลตอบสนองกับการทำออยล์พลูลิ่ง ได้แก่ ปัสสาวะเป็นกรด ปอดอักเสบ (ARDS) ถุงลมโป่งฟอง การอุดตันของเส้นเลือด และเส้นเลือดในสมอง ผลเลือดผิดปกติ ฝีในสมอง มะเร็ง เกาต์ ถุงน้ำดี หัวใจ น้ำตาลในเลือดสูง แท้งลูก ไต ตับ ความผิดปกติของระบบประสาท กระดูกพรุน ปอดบวม ทารกคลอดก่อนกำหนด น้ำหนักตัวน้อย แพ้สารพิษ และโรคติดเชื้ออื่น ๆ อีกหลายชนิด

ช่วงเวลาที่เหมาะจะทำออยล์พลูลิ่ง
     จากกราฟแสดงให้เห็นว่า ปริมาณของแบคทีเรียในช่องปากมีการเปลี่ยนแปลงในระหว่างวัน การรับประทานอาหารทำให้แบคทีเรียมีมากสุดในตอนเช้าก่อนรับประทานอาหาร การแปรงฟันช่วยลดปริมาณแบคทีเรียได้ไม่มากเนื่องจากฟันมีพื้นที่แค่ 10% ของช่องปาก  ก่อนอาหารกลางวัน ปริมาณแบคทีเรียจะเพิ่มสูงขึ้นเกือบเท่าตัวก่อนอาหารเช้า  และลดลงมากที่สุดภายหลังรับประทานอาหารเย็น เมื่อคุณหลับ แบคทีเรียมีโอกาสกลับมาเพิ่มจำนวนขึ้นใหม่โดยไม่มีสิ่งใดรบกวน การทำออยล์พลูลิ่งจึงควรทำเป็นสิ่งแรกในตอนเช้าซึ่งเป็นช่วงเวลาที่แบคทีเรียในช่องปากมีปริมาณมากที่สุด

 

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS
Read User's Comments0

การป้องกันการเกิดนิ่วในตับและในถุงน้ำดี

การป้องกันการเกิดนิ่วในตับและในถุงน้ำดี
ตับ เป็นอวัยวะที่สำคัญของร่างกายของคนเรา หากตับทำงานเป็นปรกติแล้ว  ระบบภายในต่าง ๆ ก็จะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะฉะนั้นหากเราได้รู้จักวิธีป้องกัน ดูแลรักษา ฟื้นฟู อวัยวะตับของเราแล้ว ร่างกายของเราก็จะมีสภาพที่สมบูรณ์ปราศจากโรคภัยเบียดเบียนอันเป็นสุดยอดความปราถนาของมนุษย์ปุถุชนทุกผู้ทุกนามก็ว่าได้  เพราะฉะนั้นเราจะมีวิธีป้องกันการเกิดนิ่วในตับและในถุงน้ำดีได้อย่างไร

1. ล้างพิษตับทุกปี อย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง หมายความว่า ในช่วงแรกได้ผ่านการล้างพิษอย่างต่อเนื่องไปแล้ว คือ ประมาณ 1 - 3 เดือนต่อครั้ง  จนลำไส้ท่อน้ำดีและตับสะอาด (ประมาณ 3-4 ครั้ง) โดยสังเกตุจากอุจจาระที่ถ่ายออกมาแต่ละครั้งจะมีกลิ่น สี ก้อนนิ่วสะอาดขึ้น ในการล้างพิษแต่ละครั้ง ร่างกายจะทำความสะอาดได้ลึกขึ้น และสารพิษจะออกมามากขึ้น หลังจากนั้นการดูแลร่างกายด้วยการล้างพิษควรทำทุก 2 ครั้งต่อปี เป็นอย่างน้อย
     หมายเหตุ :  ผู้ใดทำบ่อยกว่านั้นก็ไม่มีโทษแต่อยางใด เพียงแต่ให้ประมาณความพอดี ไม่ให้ร่างกายเหนื่อยล้า หรือหมดแรง 

2. การสวนล้างลำไส้ด้วยกาแฟหรือน้ำสมุนไพร อย่างน้อยอาทิตย์ละ 2 ครั้ง เพื่อเป็นการทำความสะอาดลำไส้ใหญ่ และกระตุ้นการทำงานของตับ

3. รักษาลำไส้ให้สะอาด เพราะลำไส้ที่สกปรกจะเป็นอาหารชั้นดีของแบคทีเรียตัวร้ายที่อาศัยอยู่ในลำไส้ ซึ่งจะสร้างสารพิษ เมื่อลำไส้ดูดซึมน้ำกลับเข้าสู่ร่างกาย ร่างกายจะดูดซึมสารพิษเหล่านั้นเข้าไปในกระแสเลือด พิษดังกล่าวจะถูกลำเลียงไปทำลายที่เซลล์ตับ ทำให้ตับทำงานหนักและเสื่อมสภาพมีผลต่อการลดการหลั่งของน้ำดี เกิดการคั่งของน้ำดีและทำให้เกิดนิ่ว กระบวนการรักษาลำไส้ในสะอาดมีหลายวิธี ดังนี้

  • กินอาหารที่มีเส้นใยสูง ปกติคนเราต้องการเส้นใยวันละ 25 กรัมเพื่อให้การขับถ่ายเป็นไปโดยสะดวก อาหารที่มีเส้นใยสูงได้แ่ก่ ข้าวกล้อง ผักทุกชนิด และผลไม้      
หมายเหต: สมุนไพรที่มีเส้นใยสูงได้แ่ก่ ลูกสำรอง เม็ดแมงลัก ซีเลียม เป็นต้น รับประทานได้ทุกวัน วันละ 2 เวลา คือ เช้าและเย็น เป็นการเพิ่มเส้นใยอาหารเพื่อช่วยในการขับถ่ายได้สะดวก

4. ไม่กินอาหารขยะ คือ อาหารที่ให้ประโยชน์ทางโภชนาการน้อย ส่วนใหญ่ประกอบด้วยสารอาหารที่ให้พลังงานเป็นส่วนใหญ่ เช่น น้ำตาล ไขมัน แป้ง และมีส่วนประกอบเป็นโปรตีน วิตามิน เกลือแร่น้อยมาก มักจะเป็นอาหารทอดใส่เกลือ ทำให้มีรสเค็ม ๆ มัน ๆ กินไม่รู้จักอิ่ม และอยากกินอยู่เรื่อย ๆ เมื่อกินเกลือเข้าไปมาก ๆ ก็ทำให้ความดันโลหิตสูงตามมา และรู้สึกกระหายน้ำ

5. ไม่นอนดึก ควรนอนแต่หัวค่ำ และตื่นเช้า เพราะการนอนดึกส่งผลเสียต่อระบบการย่อยอาหาร ทำให้ท้องอืด ท้องเฟ้อ อาหารไม่ย่อย ไตทำงานหนัก ระบบทำงานของร่างกายแปรปรวน

6. ไม่เครียด ควรฝึกทำสมาธิ สวดมนต์ไหว้พระ ปฏิบัติธรรมด้วยการเจริญสติ ถือเป็นการล้างพิษทางจิตใจที่สำคัญ ทำให้ใจสงบเยือกเย็นและจิตมีความนิ่งไม่กระสับกระส่ายไปมา

7. ไม่ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เช่น สุรา เบียร์ ต่าง ๆ เป็นต้น เพราะเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นต้นเหตุของโรคหลายอย่างด้วยกัน และทำให้ขาดสติอีกด้วย

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS
Read User's Comments0

กัวซา ภูมิปัญญาชาวบ้านในการเอาพิษออกจากร่างกาย

กัวซา ภูมิปัญญาชาวบ้านในการเอาพิษออกจากร่างกาย
วันนี้ ชมรมล้างพิษตับ กลุ่มบ้านรักสุขภาพสัตหีบ ขอนำเสนอการทำ กัวซา ศาสตร์บำบัดแบบชาวจีน ในการขูดเอาพิษออกจากร่างกาย ซึ่งเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านที่ยังคงนำมาใช้ในกลุ่มคนที่ต้องการดูแลฟื้นฟูสุขภาพร่างกายของตนเองให้มีสภาพที่สมบูรณ์อยู่เสมอ  ถึงแม้ว่าการแพทย์แผนปัจจุบันจะมีความทันสมัยมากถึงขั้นสูงสุดแล้วก็ตามแต่สุขภาพของคนเราก็ยังตกต่ำอยู่อย่างต่อเนื่อง  หากลองเปรียบเทียบกับสมัยก่อนตอนที่เรายังเป็นเด็กอยู่จะเห็นว่าการแพทย์ก็ยังไม่เจริญมากถึงเพียงนี้ ถนนหนทางต่าง ๆ ก็ยังไม่สะดวก อาหารการกินก็กินอยู่แบบไทย ๆ แบบบ้าน ๆ คือ หาปลา ปู กุ้ง หอย กินเป็นอาหาร ปลูกผักเลี้ยงไก่กินเอง นาน ๆ ครั้งถึงจะได้ไปตลาดซื้อขนมนมเนยสักครั้ง แต่ร่างกายของเราก็ไม่เห็นเป็นอะไรเลย แข็งแรง ไม่เจ็บ ไม่ป่วย เหมือนกับคนสมัยนี้ ซึ่งเกิดมาพร้อมกับความเจริญด้านต่าง ๆ พร้อมสรรพ์ ฉีดวัคซีนตามที่หมอกำหนดตามตารางครบทุกรอบ แต่ทำไมอายุของคนสมัยนี้จึงไม่ยืนยาวเหมือนคนสมัยก่อน ๆ เริ่มเจ็บป่วยตั้งแต่อายุยังไม่มากเท่าที่ควร เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคเกาต์ โรคอ้วน เป็นต้น 

     กัวซา จึงถือว่าเป็นศาสตร์บำบัดที่ยังคงมีประสิทธิภาพที่ยังใช้กันอยู่ ถึงแม้จะเป็นเฉพาะกลุ่มก็ตาม  แต่นับวันศาสตร์นี้ก็เริ่มกลับมาเป็นที่สนใจเพิ่มขึ้นอีกตามลำดับ ถึงแม้จะยังไม่มากก็ตาม แต่ก็ถือได้ว่ามีคนเข้ามาศึกษาศาสตร์ของกัวซากันเพิ่มมากขึ้น มีคนบอกว่าหมอที่เก่งที่สุดก็คือตัวเรา และเครื่องมือที่แท้จริงในการบำบัดโรคคือ ร่างกายของเรานั่นเอง       กัวซาจึงเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านของชาวจีน ชาวเขา กัมพูชา และเวียดนาม ซึ่งเป็นมรดกตกทอดจากบรรพบุรุษจวบจนปัจจุบัน มีประสิทธิภาพโดดเด่นในการเอาพิษออกจากร่างกายทางผิวหนัง ปัจจุบันนี้สังคมเจริญก้าวหน้า เศรษฐกิจรุ่งเรือง แต่สุขภาพของผู้คนกลับถดถอยลง ยิ่งเมื่อประสบภาวะความกดดันและการทำงานที่เร่งรีบ ทำให้ผู้คนมีเวลาในการออกกำลังกายน้อยลง หรือแทบจะไม่มีเลยก็ว่าได้ เป็นผลให้เซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายไม่สามารถทำงานหมุนเวียนได้อย่างราบรื่นจึงทำให้เกิดโรคต่าง ๆ ตามมา และแพทย์แผนปัจจุบันก็ไม่สามารถที่จะรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ  ดังนั้น "การถอนพิษแบบกัวซา"  จึงได้รับความนิยมขึ้นมาอีกครั้งตามลำดับ อีกทั้งกัวซายังสามารถทำได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องไปหาหมออีกด้วย

     การถอนพิษแบบกัวซา โดยสรุปก็คือ การขูดผิวหนังเพื่อกระตุ้นระบบหมุนเวียนโลหิต ส่งเสิรมการไหลเวียนของพลังปราณในร่างกายและเป็นการถอนพิษที่ไม่ถูกจำกัดทั้งเวลาและสถานที่ สามารถทำไ้ทุกเวลาที่ต้องการ เพียงแต่เจียดเวลาวันละไม่กี่นาที โดยเริ่มขูดจากศีรษะจนถึงเท้า ก็สามารถกระตุ้นให้เลือดหมุนเวียนได้ดีขึ้น กระตุ้นระบบเมตาโบลิซึ่ม ของร่างกาย ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือ สุขภาพที่แข็งแรง ปราศจากโรคภัย 

     กัวซา เพื่อการบำบัดแบบศาสตร์จีนโบราณ
กัวซา การนวดบำบัดแบบศาสตร์จีน คือการบำบัดแบบแผนจีนโบราณ ซึ่งมีมานานแล้วประมาณพันปีล่วงมาแล้ว การนวดบำบัดแบบกัวซา เป็นการกระตุ้นระบบเมตาโบลิซึ่มของร่างกาย มีผลทำให้สุขภาพแข็งแรง แก้ปัญหาการปวดเมื่อย ปวดหลัง ปวดเอว ปวดศีรษะ เช่น ปวดไมเกรนซึ่งได้ผลดี นอกจากนั้นกัวซาถือว่าเป็นการออกกำลังกายแบบกัวซาที่พอเหมาะส่งผลให้ร่างกายและจิตใจ แข็งแรง กระตุ้นระบบเมตาโบลิซึ่มของร่างกาย และช่วยชะลอความแก่ได้อีกด้วย 

     ประโยชน์ของกัวซา
การนวดบำบัดแบบกัวซา มีประโยชน์คือ
1. แก้ปัญหาอาการปวดเมื่อย ปวดหลัง ปวดเอว
2. ช่วยในการไหลเวียนของเลือดทั่วร่างกาย
3. เพิ่มประสิทธิภาพของระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย
4. ทำให้ดูอ่อนเยาว์ขึ้น สุขภาพดีขึ้น
5. เสริมความงาม ชลอความแก่
6. ช่วยบำบัดอาการของโรคต่าง ๆ 
7. ทำให้ค้นพบสาเหตุของโรคต่าง ๆ 
8. สามารถบอกตำแหน่งของโรคที่เกิดขึ้น
9. ช่วยลดโอกาสการเกิดโรคต่าง ๆ 
10. ทำให้สุขภาพดีขึ้น

     กัวซามีจุดเด่นและเป็นเอกลักษณ์
1. วิธีนวดบำบัดง่าย เรียนรู้ได้ง่าย
2. สามารถทำได้ทุกเวลา ทุกสถานที่
3. ไม่มีผลข้างเคียงจากการบำบัด
4. สามารถบำบัดได้แม้สวมเสื้อผ้าอยู่

     อุปกรณ์ที่ใช้สำหรับการกัวซา
1. ไม้กัวซา ช้อน ชามขอบเรียบ เหรียญ ช่วยขูดถอนพิษร้อน ช่วยเอาพิษออกได้เร็วขึ้น
2. ขี้ผึ้ง หรือน้ำมันสมุนไพร ถ้าป่วยจากภาวะร้อนเกิน ให้ใช้สมุนไพรที่มีฤทธิ์เย็น เช่น ขี้ผึ้งย่านาง น้ำมันเขียว ขี้ผึ้งเสลดพังพอน น้ำมันพืช หร้อน้ำ ฯลฯ
    (ถ้าป่วยจากภาวะเย็นเกิน ให้ใช้สมุนไพรที่มีฤทธิ์ร้อน เช่น ขี้ผึ้งไพร น้ำมันงา เป็นต้น)  ถ้าอากาศเย็นเกิน หากใช้สมุนไพรที่เย็นเกินก็จะทำให้ภาวะเย็นเข้ากระดูก หรือที่เรียกว่า หนาวเข้ากระดูกได้

     เทคนิคการทำกัวซา
1. จัดไม้กัวซา ทำมุม 45 องศา
2. ที่ตำแหน่งของกระดูกข้อต่อ สามารถขูดผ่านได้ โดยขูดไม่ลงน้ำหนักแรง
3. พยายามขูดให้ได้พื้นที่ยาว (ส่วนหน้าอก ส่วนท้อง ส่วนใบหน้า ส่วนไหล่ จากนอกเข้าใน ส่วนอื่น ๆ จากบนลงล่าง)
4. ระดับของพิษสะสม จากการศึกษาพบว่าระดับของลมพิษจะแบ่งเป็น 3 ระดับ ดังนี้
    4.1 พิษสะสมอยู่ในระดับเซลล์เนื้อเยื่อ วิธีการขูดเอาพิษออก ให้ขูดผ่านผิวหนังได้เลย บริเวณผิวหนังเรียบ เช่น ขูดบริเวณแผ่นหลัง ที่เป็นผิวเรียบ ขูดบริเวณใบหน้า แขน ขา ฯลฯ
     4.2 พิษสะสมอยู่ลึกไปถึงล่องกล้ามเนื้อ วิธีการขูดเอาพิษออก ให้ใช้วิธีแซะ เขี่ย ตามล่องกล้ามเนื้อ ตามล่องกระดูก ล่องซีกโครง เช่น ปวดตึงตรงบริเวณสะบักทั้ง 2 ข้าง (ที่อยู่แผ่นหลัง ให้อยู่ในท่าเอามือไขว้หลัง ใต้สะบักจะเห็นเป็นล่อง จะช่วยขูดแซะง่ายขึ้น
     4.3 พิษสะสมอยู่ลึกไปถึงไขกระดูก เมื่อกระดูกเคลื่อนที่ผิดรูป พิษก็จะเข้าไปฝังอยู่ในไขกระดูก เช่น ปวดที่กระดูกก้นกบมาก เราจะต้องกัวซาตรงรูกระดูกก้นกบ เพื่อขับลมพิษออก (สาเหตุมาจาก นั่งผิดท่าเป็นเวลานาน และไม่ออกกำลังกาย ยืดกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น ทำให้ของเสียไปค้างอยู่เวลานี้มาก และทานอาหารไม่สมดุลอีกด้วย)

     วิธีการกัวซา
1. ไม่ว่าเป็นโรคอะไรก็ตามควรเริ่มขูดที่ชีพจรหลักก่อน จากนั้นจึงขูดจุดที่ป่วย (ชีพจรหลักอยู่ที่แนวกระดูกสันหลังทั้งแกน) ควรเริ่มจากด้านซ้ายมาก่อนเสมอ  ขูดจากแผ่นหลังตั้งแต่ต้นคอลงยาวมาจนถึงเอวให้ลงน้ำหนักเท่าที่จะไม่เจ็บมาก  ลงน้ำหนักสม่ำเสมอพอสมควรแล้วจึงย้ายมาขูดด้านขวาต่อ
2. การใช้แรงขูดต้องสม่ำเสมอ บนแนวชีพจรที่ขูดควรขูดจนเห็นรอยจุด (ซา) ปรากฎขึ้นมา จากนั้นจึงขูดตำแหน่งอื่นต่อไป (การขูดที่พอดีคือ ขูดให้ผิวมีสีแดงจนกว่าจะไม่แดงไปกว่านั้น)
3. ปกติหลังจากขูดแล้ว 2-3 วัน ตำแหน่งโรคที่ขูดจะมีอาการเจ็บปวดปรากฎขึ้น ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ หลักจากขูดจนซาออกหมดแล้ว ต้องรออีก 5 - 7 วัน จึงจะสามารถขูดซ้ำได้อีก การขูดเพื่อสุขภาพสามารถขูดผ่านเสื้อได้ทุกวัน
4. ถ้าตำแหน่งที่ขูดไม่ถูกต้องแม่นยำ หรือ เทคนิคการใช้มือขูดไม่ถูกต้อง ก็ไม่ก่อให้เกิดอาการแทรกซ้อนแต่อย่างใด สามารถขูดได้อย่างไม่ต้องกังวลใจใด ๆ ทั้งสิ้น
5. หลังขูดซาแล้วให้ดื่มน้ำประมาณแก้วใหญ่ ๆ เพื่อช่วยระบบเมตาโบลิซึ่มของร่างกายให้ดีขึ้น
6. สถานที่ขูดกัวซาจะต้องไม่เป็นที่ลมแรง เช่นหน้าพัดลม หรือในห้องที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำ  เนื่องจากจะทำให้เสียสมดุลของหยินและหยาง
7. สามารถทำการกัวซาหลังอาบน้ำไม่น้อยกว่า 1/2 - 1 ชั่วโมง (เพื่อให้รูขุมขนกลับสู่สภาพปกติ)
8. หลังทำกัวซาควรเกิน 5 - 8 ชั่วโมงขึ้นไป จึงสามารถอาบน้ำได้ หรือเช็ดตัวด้วยน้ำอุ่นหลังกัวซา 30 นาที

วิธีสังเกตุสีผิวหลังการทำกัวซา (ดูอาการพิษสะสม)
1. สีชมพูหรือสีแดงเรื่อ ๆ   แสดงว่า    ดี
2. เป็นปื้น ๆ                   แสดงว่า  พิษเริ่มสะสมแล้ว
3. เป็นจ้ำ ๆ เหมือนไข้เลือดออก  แสดงว่า  พิษสะสมนานแล้ว ในทางแพทย์ทางเลือก เรียกว่า  ลมแตก
4. ถ้าเป็นลักษณะช้ำ         แสดงว่า มีพิษสะสมมาก
     ยิ่งถ้าช้ำจนถึงขั้นสีม่วงหรือสีดำ  ในทางแพทย์ทางเลือกถือว่า มีพิษมากถึงขั้นมะเร็ง ซึ่งการตรวจในทางการแพทย์แผนปัจจุบันอาจพบว่าเป็นมะเร็งหรือไม่ก็ได้ ซึ่งจากประสบการณ์ที่ผ่านมาพบว่าผู้ป่วยที่แพทย์แผนปัจจุบันวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็ง ร้อยละ 80 มักขูดซาพบสีม่วงหรือสีดำ การกัวซาจึงเป็นทั้งการวินิจฉัยโรคและการรักษาโรค ไปพร้อมกัน ส่วนใหญ่ไม่เกิน 7 วัน รอยแดงนั้นมักจะยุบหายไป 

การนวดหน้าด้วยกัวซา
การนวดหน้าด้วยกัวซาเพื่อใบหน้าที่สดใส อ่อนกว่าวัย เป็นการนวดใบหน้าด้วยกัวซา ซึ่งช่วยให้การหมุนเวียนของเลือดดีขึ้นส่งผลให้เซลล์ผิวเกิดความยืนหยุ่นและผิวเรียนเนียน เป็นการกระตุ้นที่เซลล์ผิวหน้าโดยเพิ่มการหมุนเวียนของออกซิเจน และ เพิ่มการดูดซึมสารอาหารต่าง ๆ สามารถยกกระชับใบหน้า ส่วนที่หย่อนคล้อยและมีริ้วรอยได้อย่างมีประสิทธิภาพทำให้ใบหน้าของคุณสวยใส ดูอ่อนกว่าวัยช่วยชลอความแก่ ลดริ้วรอย  การนวดใบหน้าด้วยกัวซาสามารถทำได้ทุกที่ ทุกเวลา ตามที่ต้องการและสามารถเห็นผลได้จริงในทันที

     จุดเด่นของการนวดหน้าด้วยกัวซา
1. วิธีนวดหน้าทำได้ง่าย เรียนรู้เองได้ทันที
2. สามารถทำได้ทุกที่ทุกเวลา ทุกสถานที่
3. ไม่มีผลข้างเคียงจากการนวดใบหน้า
4. สามารถทำให้ใบหน้าคุณสวยใสขึ้นทันที

หากท่านมีข้อสงสัยในการทำกัวซา สอมถามได้ที่ 
 

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS
Read User's Comments0

ล้างพิษตับด้วยน้ำมันมะกอกและน้ำมะนาว

ล้างพิษตับด้วยน้ำมันมะกอกและน้ำมะนาว
การล้างพิษตับด้วยน้ำมันมะกอกและน้ำมะนาวนั้นมีผู้ที่ให้ข้อมูลของการใช้ธรรมชาติบำบัดในการล้างพิษตับโดยใช้ผลไม้รสเปรี้ยวซึ่งก็ได้ผลเป็นทีน่าพอใจจึงได้มีการเผยแพร่บทความทางด้านวิชาการอันเก่าแก่นี้  นั่นก็คือ  ดร. แอนเดรีย มอริทซ์ (Andreas Moritz) ได้กล่าวถึงบันทึกของศาสตร์ทางการแพทย์ที่เก่าแก่ของอายุรเวท (Ayurveda) ประเทศอินเดีย ที่มีมากว่า 6,000 – 10,000 ปี ว่า น้ำมันและน้ำผลไม้รสเปรี้ยวเป็นยาที่เก่าแก่ที่สุดของอายุรเวทเป็นความรู้ ของการใช้น้ำมันในการล้างพิษออกจากตับและถุงน้ำดีชาวอียิปต์โบราณก็ได้กล่าว ถึงการล้างพิษตับโดยใช้น้ำมันเช่นกันมีหนังสือเขียนขึ้นที่ประเทศอังกฤษและ เยอรมันนี เมื่อปี 2463 และ 2473 ได้อธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นจากการดื่มน้ำมันมะกอกผสมน้ำผลไม้ว่าก้อนสี เขียวที่ลอยอยู่ในโถส้วมคือ “นิ่วในถุงน้ำดี”มีการตีพิมพ์ในวารสารเวชศาสตร์การแพทย์ครอบครัวอเมริกัน (American Family Physicians) ฉบับที่ 15 กุมภาพันธ์ 2541 ว่าได้มีการศึกษาการรักษาโรคนิ่วในถุงน้ำดีโดยใช้น้ำมันมะกอกผสมน้ำมะนาว ในการขับ “นิ่ว” ออกจากถุงน้ำดีเป็นผลสำเร็จ โดยไม่ต้องผ่าตัดนอกจากนี้ยังมีหนังสือเกี่ยวกับการล้างพิษตับด้วยน้ำมัน มะกอกผสมน้ำมะนาว เขียนโดย ดร.แอนเดรีย มอริทซ์ ผู้มีประสบการณ์ล้างพิษตับด้วยน้ำมันมะกอกผสมน้ำมะนาวมากว่า 30 ปีทั้งในอินเดียและอเมริกา ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2540 โดยเฉพาะการตีพิมพ์ครั้งที่ 5 ได้กล่าวว่า “ผลของการล้างพิษตับว่าเป็นคำตอบในตัวของมันเองไม่มีข้อพิสูจน์ทางวิทยา ศาสตร์หรือคำอธิบายทางการแพทย์ใดว่าสามารถทำความสะอาดตับได้มากกว่านี้อีก แล้ว เมื่อเราพบก้อนสีเขียว เหลือง ดำ น้ำตาลเป็นร้อยๆ ลอยอยู่ในโถส้วม เราจะรู้สึกทันทีว่ามีบางสิ่งที่สำคัญอันยิ่งใหญ่ในชีวิตเราและแน่นอนเรา สามารถพึ่งตนเองเรื่องสุขภาพได้และอาจเป็นครั้งแรกในชีวิตเราที่มีความ รู้สึกเช่นนี้ ไม่มีพิษหรือเป็นโทษใด ๆแก่ร่างกาย ซึ่งต่อมาก็ได้นำน้ำมันมะกอกและมะนาวมาใช้ในการล้างพิษตับกันแพร่หลายมากยิ่งขึ้น ปัจจุบันจะเห็นได้ว่าการใช้ธรรมชาติในการฟื้นฟูร่างกายของเรานั้นเป็นสิ่งที่คนเราเริ่มตื่นตัวในวิธีการนี้ถึงแม้วิทยาศาสตร์จะเจริญก้าวหน้าสักเพียงไรก็ตาม แต่ศาสตร์ดั่งเดิมภูมิปัญญาแบบดั่งเดิมเหล่านี้ัหากเราได้นำกลับมาใช้ก็จะเป็นประโยชน์มากยิ่งขึ้น

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS
Read User's Comments0

8 อ. หลักปฏิบัติเพื่ออายุยืน

8 อ. หลักปฏิบัติเพื่ออายุยืน
หลักจากที่กลุ่มรักสุขภาพสัตหีบได้นำบทความเกี่ยวกับการ "ล้างพิษตับ" ไปแล้วเมื่อครั้งก่อนเกี่ยวกับ อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง 6 อ. ไปแล้ว ก็ทำให้ชมรมล้างพิษตับ กลุ่นบ้านรักสุขภาพสัตหีบ ได้นำบทความดี ๆ เป็นเรื่องเกี่ยวกับ หลัก 8 อ.หลักปฏิบัติเพื่ออายุยืน ซึ่ง อ.อุ่นเอื้อ  สิงห์คำ เป็นผู้รวบรวม ซึ่งเห็นว่าเป็นหลักที่ดีและน่าจะเป็นประโยชน์กับเพื่อน ๆ ชมรมล้างพิษตับ กลุ่มบ้านรักสุขภาพสัตหีบ ของเรา จึงได้นำบทความ 8 อ. หลักปฏิบัติเื่พื่ออายุยืนมาเผยแพร่เป็นประโยชน์ต่อเพื่อนพ้องน้องพี่ต่อไป

หลัก 8 อ.หลักปฏิบัติเพื่ออายุยืน
อ.1 อิทธิบาท 4
     พระัพุทธเจ้าตรับไว้ว่าผู้ที่มีอิทธิบาทอาจมีอายุเกินกัลป์ หมายความว่า ถ้าเราได้ต้นทุนอายุมาเท่าไหร่ ก็จะได้อายุยืนยาวไปกว่านั้นตามประสิทธิภาพของอิทธิบาทที่ผู้นั้น ๆ เพียรปฏิบัติ
      อิทธิบาท 4 ได้แก่
     1. ฉันทะ  คือ ความพอใจ ตั้งใจมั่น เอาชนะความเจ็บป่วย ที่จะให้ชีวิตซึ่งเกิดมาแล้วมีอายุยืนนานมากที่สุด
     2. วิริยะ คือ ความเพียรรักษาร่างกายด้วยวิธีการต่าง ๆ ที่ทำให้ร่างกายมีพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรง มีอายุยืนนานที่สุึด ทำต่อเนื่อง ไม่ท้อถอย
     3 จิตตะ คือ เอาใจฝักใฝ่ที่จะเสริมสร้างให้ตนมีร่างกายแข็งแรง มีพลานามัยสมบูรณ์ และมีอายุยืนนานอยู่เสมอเป็นเนืองนิตย์ ไม่วางเฉย
      4. วิมังสา คือ หมั่นตริตรอง พิจารณา ค้นคว้า รับฟังเรื่องราวและวิธีการที่จะทำให้ชีวิตปลอดภัย และมีอายุยืน ตลอดถึงข้อที่ควรเว้น และข้อที่ควรปฏิบัติในการที่จะทำให้ตนมีอายุยืนอยู่ตลอดเวลา ไม่เกียจคร้าน ไม่คิดว่าตนอายุมาก ใกล้ตายแล้ว หรืออยู่อีกไม่นานก็ตาย เพราะการที่จิตนึกเช่นนั้นอยู่เสมอ มักจะแก่เร็ว ตายเร็วก่อนเวลาเป็นอันมาก เพราะทุกสิ่งขึ้นอยู่กับจิต จิตน้อมไปทางใดมาก ๆ อวัยวะหรือเซลล์ของร่างกายก็จะเป็นไปตามที่จิตนึกคิดทุกประการ ทำให้มีกำลังกายและใจในการพากเพียรปฏิบัติอย่างเต็มที่่ด้วย
     จะเห็นว่าอิทธิบาท 4 มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะการมีอิทธิบาทสี่ก็คือการมีกำลังใจที่จะยิ้มสู้อย่างไม่เห็นแก่ความลำบากใด ๆ เมื่อเกิดความพากเพียรเอาใจใส่ในการทำกุศลนั้น ๆ อย่างยินดี พอใจ เต็มใจ สารเอนดอร์ฟิน (Endorphine) ก็จะหลั่งออกมาจากต่อมพิทูอิทารี่ (Pituitary Gland) ทำให้เซลล์ในร่างกายมีความสมดุล สดชื่นและแข็งแรง
    

 และจะเห็นได้อีกว่าหลักในพระพุทธศาสนานั้นเป็นหลักสามารถพิสูจน์ได้ทุกยุคทุกสมัย หากมีฉันทะ ก็สามารถตั้งมั่นด้วยใจที่จะเอาชนะจากโรคภัยได้  และประกอบด้วย วิริยะอีกก็จะทำให้มีความเพียร เพียรรักษา หรือว่าเพียรพยายามที่จะทำให้ร่างกายแข็งแร็ง เช่นออกกำลังกายทุก ๆ วันอย่างสม่ำเสมอ เป็นต้น และถ้าหากมีจิตตะ คือเอาใจฝักใฝ่ด้วยแล้วก็จะทำให้มีความมุ่งมั่นที่จะออกกำลังกายทุก ๆ วัน  และท้่ายที่สุดถ้าเรานำเอา วิมังสา คือการหมั่นตริตรองพิจารณาแล้ว ถึงข้อดี ข้อเสีย ข้อควร ข้อห้าม ต่าง ๆ ในการดำรงชีวิตแล้ว เราก็จะเป็นผู้ที่มีอายุยืนตามหลัก 8 อ. หลักปฏิบัติเพื่ออายุยืนนั่นเอง

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS
Read User's Comments0